การท่องเที่ยววิถีชีวิตท้องถิ่น ใน KITAKAMI
Snow Peak Omotesando Store Manager
Takahito Torigoe / ทาคาฮิโตะ โทริโกเอ

เมื่อก้าวลงจากขบวนรถไฟที่สถานี ฉันสัมผัสได้ถึงความร้อนชื้นราวกับฤดูร้อนที่ใกล้เข้ามา และความตื่นเต้นที่พลุ่งพล่านไปทั่วตัว
ปลายเดือนพฤษภาคม ฉันเดินทางจากโตเกียวมุ่งหน้าสู่เมืองคิตะคามิ จังหวัดอิวกิ ด้วยรถไฟชินคันเซ็นประมาณ 3 ชั่วโมง
เป้สะพายหลังใบใหญ่ใบหนึ่งเต็มไปด้วยถุงนอน เสื่อ และเสื้อผ้า ฉันมาที่นี่เพื่อทำงานในฐานะทีมงานของงาน Snow Peak Experience
แต่ความตื่นเต้นของฉันก็ไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกของญี่ปุ่นกับการจัดกิจกรรมแคมป์ปิ้งภายในแหล่งโบราณคดียุคโจมง
กิจกรรมนี้มีชื่อว่า 'LOCAL LIFE TOURISM in KITAKAMI'
แหล่งโบราณคดีคาวายามะ (ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศ) ซึ่งค้นพบในปี 1951 นั้นเป็นตัวแทนของแหล่งโบราณคดียุคโจมงตอนกลาง และตอนปลาย และตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองคิตะคามิ มีจุดเด่นคือกลุ่มก้อนหินเรียงเป็นวงกลมที่มีเสาหินตั้งอยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแหล่งโบราณคดีแห่งนี้
ในบริเวณแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ มีทั้งลานกว้างที่มีกลุ่มก้อนหินเรียงเป็นวงกลมกระจายอยู่ทั่วไป และเนินดินเล็กๆ ที่มีบ้านดินโบราณ (สร้างขึ้นใหม่) ตั้งอยู่ โดยบ้านดินโบราณแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนของบ้านดินในยุคโจมง ที่มีอายุประมาณ 4,000-5,000 ปี เมื่อขึ้นไปบนเนินดิน เราจะมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของทุ่งนา และตัวเมืองคิตะคามิ รวมถึงเทือกเขาโออุเอะที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลัง
เนินดินด้านใต้ที่ได้รับแสงแดดส่องถึงแห่งนี้คงจะเปรียบเสมือน 'ย่านที่อยู่อาศัยชั้นสูงในยุคโจมง' ก็เป็นได้ เพราะไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน สถานที่ที่ได้รับแสงแดดส่องถึง และมีความเงียบสงบก็ยังคงเป็นที่ต้องการของผู้คนเสมอ

การตั้งแคมป์ในยุคโจมงครั้งนี้ เราจะกางเต็นท์ในลานกว้างที่มีกลุ่มก้อนหินเรียงเป็นวงกลม และจัดเตรียมสถานที่สำหรับเลี้ยงสังสรรค์ใกล้กับบ้านดินโบราณบนเนินเขา โอกาสที่จะได้มาตั้งแคมป์ในสถานที่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เช่นนี้หาได้ยากมาก
หลังจากที่ทุกคนเดินทางมาถึง เราจะเริ่มต้นด้วยพิธีเปิด จากนั้นก็จะมีกิจกรรมเวิร์คช็อปการเรียนรู้วิถีชีวิตในยุคโจมง เช่น การเรียนรู้การเก็บพืชผักจากผู้เชี่ยวชาญ และออกไปปฏิบัติจริงในพื้นที่ หลังจากนั้น เราจะช่วยกันกางเต็นท์สำหรับพักค้างคืน ไปอาบน้ำแร่เพื่อผ่อนคลาย และทานอาหารเย็นแบบบาร์บีคิว โดยใช้วัตถุดิบสดใหม่จากท้องถิ่นคิตะคามิ หลังจากทานอาหารเสร็จ เราจะได้ชมการแสดงศิลปะพื้นเมืองอย่างการเต้นรำ ชิชิ โอโดริ และในตอนเย็นก็จะนั่งล้อมวงรอบกองไฟ ดื่มด่ำกับบรรยากาศ และพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
นี่คือกิจกรรมในวันแรกที่เต็มไปด้วยความพิเศษและน่าประทับใจ

หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ พวกเราทุกคนก็มุ่งหน้าไปยังพิพิธภัณฑ์เมืองคิตะคามิ เพื่อศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมยุคโจมง จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังเวิร์คช็อปทำเครื่องปั้นดินเผายุคโจมงในหมู่บ้านโบราณ ซึ่งทุกคนต่างรอคอยกันมาก
กิจกรรมเวิร์คช็อปนี้ค่อนข้างจริงจังทีเดียว เราเริ่มต้นด้วยการนวดดิน ปั้น และขึ้นรูป โดยเริ่มจากการปั้นเป็นแม่พิมพ์ก่อนเลย เด็กๆหลายคนก็สร้างสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างน่ารัก และน่าทึ่งทีเดียว ขณะที่ผู้ใหญ่มุ่งมั่นกับการทำตามขั้นตอนอย่างจริงจัง

หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมเวิร์คช็อป เราก็มาถึงช่วงอาหารกลางวัน ซึ่งเป็นอาหารแบบยุคโจมงที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่นคิตะคามิเป็นหลัก
ตอนแรกก็แอบกังวลเล็กน้อยว่าอาหารจะเน้นไปที่ผักเป็นหลัก เพราะเป็นอาหารแบบยุคโจมง แต่พอได้ชิมจริงๆ ก็พบว่ามีเมนูเนื้อสัตว์ให้ทานด้วย ทำให้รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก

การได้มาพักที่บ้านโบราณ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้สัมผัสกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่งดงาม และโชคดีที่ตลอดทั้งสองวันอากาศก็เป็นใจ ทำให้การจัดงานครั้งนี้สมบูรณ์แบบมาก
ตอนทานอาหารเย็นวันแรก ฉันได้มีโอกาสพูดคุยกับชาวนาที่ปลูกผักที่นำมาทำอาหาร ทำให้ฉันรู้สึกว่าการได้รู้จักคนที่ผลิตอาหารที่เรากินนั้นเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ฉันนึกถึงตอนที่ฉันยังเด็กที่เคยอยู่บ้านนอก ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เราจะรู้จักคนที่ปลูกผักผลไม้ แต่พอโตขึ้นมาแล้วมาอยู่ในเมือง ทำให้ฉันลืมความรู้สึกแบบนั้นไปเลย
การที่ผู้ผลิต ผู้ประกอบอาหาร และผู้บริโภคได้มารวมตัวกันในที่เดียวกันแบบนี้ เป็นเหมือนการกลับไปสู่วิถีชีวิตของคนทำการเกษตร ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตของคนเมือง การได้นั่งทานอาหารร่วมกันกับชาวนา และทีมงานที่เตรียมอาหาร ทำให้รู้สึกอบอุ่นมาก อาหารที่นำมาเสิร์ฟก็มีทั้งผัก ผลไม้ และอาหารป่าที่หาได้จากธรรมชาติ ทำให้มื้ออาหารครั้งนี้น่าประทับใจมาก โดยเฉพาะการได้ทานอาหารกลางแจ้งพร้อมกับชมพระอาทิตย์ตกดิน เป็นช่วงเวลาที่สุขใจมาก
จากการได้มาสัมผัสกับวัฒนธรรมยุคโจมงในครั้งนี้ ทำให้ฉันรู้สึกเคารพบรรพบุรุษของเรามากขึ้น เพราะพวกเขาต้องใช้เวลาหลายร้อยหลายพันปีในการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติ
ในปัจจุบัน เราสามารถหาข้อมูลอะไรก็ได้จากอินเทอร์เน็ต แต่บรรพบุรุษของเราต้องเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความท้าทาย และอุปสรรคมากมาย
ฉันคิดว่าเราทุกคนควรจะหาเวลาออกมาสัมผัสธรรมชาติบ้าง เช่น การออกมาสัมผัสแสงแดด อากาศ หรือเสียงลม การได้ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายบ้าง อาจจะทำให้เรามีความสุข และเข้าใจชีวิตมากขึ้น
และนี่คือสิ่งที่ Snow Peak ต้องการจะสื่อสารผ่านสโลแกน "เติมเต็มชีวิตด้วยการออกไปผจญภัยในธรรมชาติ"

Comments